วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Whisper of the Heart



วันนี้มาแปลกหน่อยที่ไม่ได้มาเล่าถึงเรื่องเที่ยวแต่เป็นหนังการ์ตูนอะนิเมชั่นแทน
ด้วยที่ว่าฉันเป็นคนที่ชอบดูหนัง กับการ์ตูนมากๆ เลยไม่พลาดกับการ์ตูนอะนิเมะของสตูลดิโอจิบลิ เรื่อง whisperof the heart หรือ ภาษาไทยชื่อว่า..วันนั้น..วันไหน หัวใจจะเป็นสีชมพู เป็นการ์ตูนอีกหนึ่งเรื่องที่ฉันเก็บไว้ในความทรงจำ สงสัยมันโดนใจละมั้ง เนื้อเรื่องดำเนินชีวิตของเด็กมัธยมต้นที่กำลังจะไปสอบเข้ามัธยมปลายที่เด็กหลายๆคนมุ่งมั่นกับการเรียนเพื่อไปสอบเข้าต่อที่มัธยมปลายที่อยากเข้า แต่ที่โดนใจจังๆก็คงเป็นที่ตัวพระนางของกลับไม่ได้สักแต่ว่าเรียนๆสอบๆตามที่คนรอบข้างได้พูดกรอกหู(โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเรียนเพื่ออะไร) แต่กลับ รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ความฝันของเขาคืออะไร และอยากพิสูจน์ฝีมือว่าจริงๆแล้วที่เขาฝันว่าอยากทำนั้นมันเป็นไปได้รึป่าวกับชีวิตจริงของพวกเขา พระเอกเป็นเด็กชายที่ฝันอยากเป็นช่างทำไวโอลีน ส่วนนางเอกก็อยากที่จะเขียนนวนิยาย ดูไปก็รู้สึกดีชอบกล(แม้วัยของฉันจะผ่านช่วงนั้นมาหลายปีแล้ว) ปนกับความอิจฉาที่เด็กมัธยมต้นรู้ทางเดินข้างหน้าว่าต้องการจะทำอะไร แต่ฉันเรียนอยู่ตั้งมหาวิทยาลัยแล้ว ยังงงๆกับอนาคตว่าเรียนจบไปแล้วอยากจะทำอะไร???


อยากให้คนที่ได้อ่านไปลองหาดูกันน้า และอีกอย่างการ์ตูนเรื่องนี่มีมาตั้งแต่ค.ศ1995 นานมาแล้วนะเนี่ย

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟิลลี่ที่จากมา

แม้ว่าเราจะไปฟิลลี่แบบไม่ได้ว่างแผนเที่ยว แม้เราจะไม่ได้ไปเจอจุดเด่นที่ใครไปฟิลลี่ต้องเจอ
แต่เราก็พบเจออะไรสวยๆหลายอย่าง



ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องแวะ Starbuck















ม้าตัวใหญ่มากๆ









ที่ฟิลลาเดลเฟียสัญลักษณ์คือระฆัง และเรื่องราวของเบจามิน แฟรงคลิน












วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Go to ฟิลลี่(ฉบับเปียกปอน)

วันที่17 may 10
กำหนดการออกจาก ดีซี 12.00AM ถึงฟิลาเดลเฟีย 2.45AM
ตารางงานวันนี้ของทุกคนในบ้านว่างเหมือนกันหมด(7คน)ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวกันครบทุกคนก่อนกลับไปเมืองๆหนึ่งที่เคยเป็นเมืองหลวงชื่อ "ฟิลาเดลเฟีย"
ก่อนออกเดินทางฉันต้องตรวจสภาพอากาศของที่เที่ยวก่อนทุกครั้งจะได้แต่งตัวไปเหมาะกับอากาศที่เปลี่ยนได้ทุกวัน
มันบอกว่าsunny เลยใส่ชุดชิวๆ(แอบสวย)
แล้วฉันออกจากบ้านสี่ทุ่ม นั่งmetro ไปลงที่สถานีmetro center ก็เกือบๆห้าทุ่มแล้ว
ไปถึงที่รอรถmegabus เริ่มหนาวๆแต่ก็พอทน
รถบัสที่นั่งไปฟิลลี่(ชื่อเล่นฟิลาเดลเฟีย) เป็นปรับอากาศสองชั้น ก็แบบว่าดูเหมาะกับ
ค่ารถไปกลับ $5.6 (จองล่วงหน้าจะได้ราคาถูก ราคาจะเปลี่ยนตลอด)
นั่งไปสองสามชั่วโมงก็ถึงฟิลลี่แล้ว(ประมาณตีสองตีสาม)
พอลงจากรถเท่านั้นแหละ บ้าไปแล้วฝนตก!! อากาศหนาวมาก พวกเราก็รีบวิ่งไปหาที่หลบฝน เลยไปนั่งที่สถานีรถไฟamtrak แบบว่าข้างในเขาดูดีมากๆจริงๆนะ ตอนตีสามไม่ค่อยมีคนเราเลย ไปแอบงีบ รอให้ฝนซากว่านี้หน่อย
นอนตรงที่นั่งรอนั้นแหละ (ลำบากจิง) เริ่มตื่นทุกๆชั่วโมง จนกระทั่งถึงตีห้า สถานีเริ่มคึกคักเพราะคนกำลังจะเดินทางขบวนแรก ฉันเลยตื่นไม่นอนแล้ว อากาศข้างในแบบว่าเย็นขึ้นเรื่อยๆ ข้างนอกฝนก็ยังไม่หายตก ในใจก็เริ่มเครียทำไงดีหว่ะถ้าฝนไม่หยุดตกแล้วอากาศเป็นแบบนี้ แต่ก็ได้แต่รอแหละ เดินไปเดินมาหาของกินกับเพื่อน(บางคนก็ยังนอนอยู่ที่เดิมไม่ตื่น) เวลาก็ผ่านไปถึงแปดโมงครึ่งฝนก้ยังไม่หายตก อากาศก็หนาวเหมือนเดิม ทุกคนเริ่มหน้าเสีย บางคนก็อยากกลับบ้านแล้ว ยังไงก็คงเที่ยวไม่ได้ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เรากลับไม่ได้เพราะตั๋วขากลับคือตอนสองทุ่ม ไปๆมาๆฉันเลยตัดสินใจไปซื้อเสื้อกันหนาวกะน้องที่ไปด้วยกัน ทายสิตัวละเท่าไหร่? ตัวละ$25 ตัดใจซื้อมา เพราะอยากไปเที่ยวแล้ว ไม่ไหวแล้วไม่รอให้ฝนซงฝนซาและ ไปเลย
ออกไปตอนแรกหนาวมาก พอผ่านไปซักห้านาที เริ่มรู้สึกดีที่ซื้อเสื้อตัวนี้มา ไม่หนาวเท่าไหร่แล้ว แต่แฉะอ่า

พวกเราก็เดินๆๆ แบบว่ามาทั้งทีก็เดินแต่ไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายเพราะอากาศแบบนี้ทำให้การมาเที่ยวไม่สนุก เราเดินแค่market st. จะเข้าไปดูindependence hall ก้อดตั๋วหมด เลยดูแต่bell ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ แต่ก็แค่นั้น
เศร้าอ่า
มาเที่ยวทั้งทีแต่ไม่ได้ไปดูสถานที่ๆเป็นที่น่าไปจริงๆได้แต่เดินในตัวเมืองที่มีแต่ตึก คิดอยู่ว่าอาทิตย์หน้าจะไปเที่ยวที่ฟิลลี่อีกรอบ ครั้งหน้าคงไม่พลาดเท่าครั้งนี้ แต่ก็ถือว่ามาเที่ยวครั้งนี้เป็นguidelineให้ครั้งหน้าจะได้ไม่หลง แถมบวกกะความสนุกสนานในการเล่นน้ำฝน(ทุกทีไม่กล้าตกฝนเพราะกลัวเป็นหวัด) ช่วยกันคนละไม้ละมือถือร่มไม่ให้ปลิว แปลกดีนะไม่ค่อยได้เที่ยวแบบนี้ อิอิ

ป.ล อากาศแบบนี้ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเลย (เศร้ากว่า)

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ตะลอน....วันว่าง3>> Old town

เมื่อทุกคนเริ่มหิวกันแล้ว โปรแกรมที่เที่ยวที่อื่นก็เริ่มหายไป เหลือแต่ที่มีร้านอาหารน่ากินๆให้เราเข้าไปพิสูจน์รสชาด
Let's go to old town
ก่อนอื่นเราก็ต้องนั่งmetro ไปลงที่King street station และที่นั่นเขาจะมีบริการรถเมล์(shuttle bus)พาทัวร์ old town ฟรีด้วย จะมาที่ป้ายทุกๆ2o นาทีเรามาถึงประมาณบ่ายสามโมงสิบ เมื่อถึงเวลาที่รถมาเราก็นั่งชมบรรยากาศกันไป เมืองแถวนี้เป็นเมืองเก่าที่เขาอนุรักษ์เก็บไว้ สวยมาก บรรยากาศดีมากด้วย มีตึกขายของเรียงติดกัน(ร้านขายของตกแต่งภายใน ร้านหนังสือ ร้านขายของเด็ก ฯลฯ) ต้นไม้ ถนน ผู้คนไม่พุกพล่าน และมีร้านอาหารให้เลือกกินเยอะมาก สุดทางที่รถจอดติดกับ แม่น้ำ potomac ลงจากรถปุ๊บเราก็ตรงไปหาร้านอาหาร ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะกินอาหารไทยดีไหมสุดท้ายก็เปลี่ยนใจ(อาหารไทยกินที่บ้านเราน่าจะอร่อยสุด) พอเห็นร้านหนึ่งคนนั่งหน้าร้านเยอะดีเลยเข้าไป เป็นร้านออกแนวอิตาเลี่ยน เข้าไปก็งงๆพอได้นั่งโต๊ะเรียบร้อยเขาก็ถามก่อนจะดื่มอะไร เราก็ดื่มอะไรที่ไม่เสียตัง น้ำเปล่า เสร็จเขาก็แจกเมนู แล้วตามด้วยขนมปังฝรั่งเศสที่มีบริการให้ทุกโต๊ะ พอนั่งพินิตรดูเมนูกันก็ทำหน้างงๆเพราะว่า รายการอาหารมันเป็นชื่อของอาหารเลย เอาไงดีหว่าไม่รู่จะสั่งอะไร เราจึงตกลงกันให้สั่งคนละอย่างของแต่ประเภทที่แบ่งไว้(ไปกันสามคน) ฉันสั่งแซลมอลอะไรเนี่ยแหละ อู๋สั่งพาสต้าและยีนก็สั่งสเต็กไก่ พอคิดอาหารเมนูได้บริกรก็มารับออเดอ พอเห็นเราเป็นคนต่างชาติ เขาก็ชวนคุยนู้นนี่ พอเห็นอาหารที่เราสั่งเขาก็แนะนำว่าพาสต้ารสนี่นะอร่อยกว่า ถ้าสั่งสเต็กต้องรสนี่นะ เราก็เปลี่ยนตามที่เขาบอกนั่นแหละเพราะมันคงอร่อยจริงอย่างที่เขาบอก พอสั่งเสร็จอาหารก็เริ่มตะหนักว่าลืมคำนวณราคาอาหาร เพราะวันนั้นเราเอาเงินไปไม่มาก ฉันเหลือประมาณ $17 เพื่อนอีกสองคนเหลือ$10,$43เอาแหละ จะพอกับค่าอาหารไหมเนี่ยตอนแรกก็แบบว่าก็เสียวกันอยู่ แต่สักพักคำนวณดูก็เริ่มดีขึ้นน่าจะพอหน่า ประมาณสิบถึงสิบห้านาทีอาหารก็พร้อมเสริฟหน้ากินทั้งน้านเลย


และเราก็ใช่วิธีการหมุนเวียนจานอาหารผลัดกันกินแขกในร้านคงงงกับการกินของเรา ฮ่าๆๆและสุดท้ายเราก็กินหมด อิ่มจริงๆ สุดท้ายรอลุ้นตอนคิดตังค์ว่าจะเท่าไหร่
ทั้งหมด$61 แต่ให้ไป$65 บวกค่าทิปไปด้วย ไม่แพงเกินไปราคามันก็เหมาะกับอาหารแหละ เข้าresturant ทั้งทีหรูหน่อย

แต่สำหรับ OLD TOWN นั้นมีอะไรอีกหลายอย่างที่่wonderful มาต่อกันครั้งหน้านะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ตะลอน...วันว่าง2

หลังจากเดินเที่ยวตลาดกันแล้วเราก็ดูแผนที่ว่าจะไปไหนต่อกันดี
แล้วก็ตัดสินใจไป Library of congressซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่นี่มาก เราจึงเดินกันไป ระหว่างทางเดินก็เห็นบ้านเมืองแถบนั้น เหมือนในหนังโรแมนซ์เลย คือแบบว่าบ้านเขาเก่าๆโบราณๆแต่ยังคงความสวยอยู่ติดๆกันมีสวนเล็กหน้าบ้าน เห็นแล้วอยากให้แถวบ้านเรามีแบบนั้นบ้างคงแปลกตาดี รถราก็ไม่เยอะ ที่สำคัญสะอาดด้วย เดินไปก็ซึมซาบบรรยากาศกันไป รู้สึกเดินแล้วไม่เหนื่อยเลย ชอบๆ
แล้วประมาณเกือบครึ่งชม.ก็เดินถึงlibrary(ถ้านั่งmetroจะต้องลงที่capital south station)ดูภายนอกอลังการงานสร้างมาก พอเขาไปข้างในแล้วดูดีกว่าของนอกเยอะเลย แบบว่าดูhigh tech มากอุปกรณ์ แผนที่ สื่อการเรียนรู้ของเขาก็แบบทัชสกีน ภายในมีหลายๆส่วนแบ่งเป็นห้องๆ (วันนั้นคนเยอะดีมีคนมาทัศนศึกษาแต่งตัวดูดีกันทั้งน้าน) ส่วนเราก็เดินไปดูไปเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างส่วนมากก็มีเรื่องhistoy of america เขาจะมีแผ่นพับแจกทุกหัวมุม เราก็หยิบกันไปไม่รู้เรื่องก็หยิบมาเป็นที่ระลึก แล้วฉันก็เริ่มรู้แล้วว่าทำไมเข้าถึงเจริญกว่าเรานักก็ดูแค่ส่วนเล็กของเขายังมีการจัดเก็บข้อมูล การนำเสนอที่มีระบบระเบียบดี ทำให้รู้สึกเห็นคุณค่า อยากเรียนรู้ดูไม่น่าเบื่อ เมืองไทยเมื่อไหร่จะทำแบบนี้ได้มั้ง อะไรเก่าๆก็เก่าเหมือนเดิมอย่างนัั้น

เศร้าใจกะเมืองไทย อย่างตอนนี้บ้านเมืองก็แตกเป็นส่วนๆ ใครจะไปรู้ว่า อีกไม่นานโลกเราก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆตามมาไม่ช้า

วกกลับมาอเมรกาต่อดีกว่า แล้วส่วนที่สำคัญในตึกนั้นก็คือห้องสมุดที่ใช้ค้นคว้าหยิบจับหนังสือได้จริง(ส่วนอื่นหนังสือจะอยู่ในตู้กระจก) ฉันได้เข้าไปส่องดูส่นนั้นประมาณ5นาที ดูผ่านกระจกด้วย คนที่เข้าไปข้างในนั้นนั้นได้ต้องมีหนังสือราชการขอเข้าไปมั้ง(ดูจากnational treasure) เดินกันจนถึงประมาณสามโมงครึ่ง เริ่มรู้สีกหิวกันแล้ว เลยจะออกไปหาของกินที่อื่นกัน ดีใจที่มาคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกจะมาแวะที่นี่

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ตะลอน...ในวันว่าง

วันพฤหัสบดีที่15เมษา อากาศแจ่มใสไม่หนาวและร้อนเกินไป ฉันเลยตัดสินใจไปเที่ยวดีซี อีกรอบกับเพื่อนที่ทำเกมส์ด้วยกันอีก2คน
เราเริ่มเดินทางตอนเที่ยง (พกหนังสือท่องเที่ยวไปด้วย)ที่แรกเราตัดสินใจไปกันคือ ไปตลาดเห็นในหนังสือบอกว่าจะมีของสด ต้นไม้ขายริมฟุตบาทเลยอยากไปดูว่ามันจะเหมือนตลาดนัดเมืองไทยรึป่าว ลงที่สถานนีeastern marketกัน พอลงไปปั๊บเมืองแถวนั้นดูสงบมาก สะอาด โบราณแต่สวยและร้านแรกที่เจอคือ เบเกอรี่(คนแถวนั้นดูผู้ดีมากเลย) (ชอบ) แล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเจอร้านกาแฟ ต้องแวะ!! แล้วฉันก็เข้าไปสั่งคาปูเย็น แต่ได้ลาเต้กลับมาก็งงๆ ฉันสั่งไม่รู้เรื่องอีกใช่ไหม



แล้วเดินต่อมาเรื่อยก็หาตลาดข้างทางไม่เจอ แต่เจอตลาดที่อยู่ใยบล็อกๆ คล้ายตลาดสดบ้านเราแต่ดูดีกว่า
เดินดูอะไรเรื่อยเปื่อย พอเดินต่อมาอีกนิดก็เจอร้านหนังสือมือสอง ข้างในหนังสือเยอะมากแล้วก็ดูงงๆอ่า คือฉันกำลังหาหนังสือชื่อthe pianist ให้เพื่อนอนู่หาไปหามาหาไม่เจอหว่ะ แล้วเราก็เลยตัดสินใจไปที่อื่นต่อดีกว่า สงสัยตลาดมีวันอาทิตย์แน่เลย
อดเลยเราฝนเริ่มตกอีก
สถานนีต่อไป capital south รอสักพักนะช่วงนี้งานเยอะ