วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำงานวันแรก


วันนี้วันที่29 march ตามตารางวันนี้ฉันต้องไปทำงานที่Six flags america วันแรกตอนสิบโมงตรง แต่ต้องเข้าไปclock in ก่อนเวลาประมาณสี่สิบนาที เช้านี้เลยออกเร็วกว่าปกติ (ทำงานตรงกับน้องอีกสองคน) พออกมาเท่านั้นแหละถึงเพิ่งรู้ว่าฝนตก ตกแต่เช้าเลยแล้วนี่สวนสนุกจะมีคนมาเที่ยวไหมเนี่ย?คิดในใจ


พอนั่งรถบัสมาถึงที่ทำงานเท่านั้นแหละเพื่อนร่วมงานที่มาด้วยกันบอกว่าวันนี้ปาร์คปิด ไรว่ะ ปิดหรออุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดีสุดท้ายมาทำงานเก้อ เพราะไอฝนเนี่ยแหละอยู่ก็ตก (ฤดูไรกันแน่เนี่ย) แล้วฉันก็เลยใช้เวลาที่ไหนๆก็ออกมาจากห้องแล้วไปเที่ยวช้อปปิ้งlargo ใกล้กับmetro ที่นั้นมีของให้ซื้อเยอะเลย มีร้านชื่อmarshall เขาบอกว่าbrand name for less จริงอย่างที่เขาบอกเพราะเสื้อผ้าแบรนทั้งหลายลดราคาเยอะมากฉันเลยซื้อมาสามตัวก็หมดไปประมาณ24$ แย่จริงๆเลยเราขนาดยังไม่ได้ทำงานเลยหมดตังไปหลายแล้ว

พอมาดูนาฬิกาอีกที่ใกล้สามโมงเย็นแล้ว ที่นี่เลยตรวจดูตารางรถเมโทรบส รถมาตอนมาโมงแปดนาที พวกเราเลยรีบวิ่งมารอ พอมาถึงรถก็ยังไม่มา ซักพักบัสขับผ่านอีกเลนนึง นึกว่าจะวนกลับมารับแต่ก็ไร้วี่แวว ตอนนั้นหิวมากเพราะยังไม่ได้กินข้าวก็คิดๆกันอยู่ว่าถ้าอีกสิบนาทีบัสไม่มาจะไปกินแมคกัน แต่คิดไปคิดมาตังก็จะหมดเลยห้ามใจรอบัสต่อ แต่คราวนี้ลองข้ามถนนไปรออีกฝั่ง รอไปรอมา เห็นบัสขับจะมาถึงป้ายที่รอตอนแรก พวกเราเลยรีบวิ่งข้ามถนนกันชุลมุน(ดีนะรถที่นี่เขาดูคนเป็นหลัก เลยจอดให้เราวิ่งกันก่อน) พอขึ้นบัสปึ้บนั่ไปสักพักน้องเริ่มทักว่ามันแยกไปคนละทางกับที่พัก อ้าวที่นี่หล่ะงงกันใหญ่เพราะผ่านแต่ละที่ที่ไม่เคยไป ฉันเลยลองถามฝรั่งคนข้างหลังถึงรู้ว่านั่งผิดฝั่ง ด้านนี้คือนั่งไปลงสุดทางที่บัสจอด ฉันเลยต้องลงป้ายสุดท้ายแล้วก็รอนั่งกลับไปอีกรอบ ทั้งหิวทั้งเหนื่อยสุดท้ายกว่าจะกลับบ้านก็สี่โมงกว่า

ตราวหน้าถ้าจะขึ้นบัสต้องถามคนขับทุกครั้งดีกว่าว่าผ่านที่เราลงรึป่าว อิอิ


ป.ล ดีนะที่ซื้อบัตรรถแบบอาทิตย์ คือซื้อ12$นั่งได้กี่เที่ยวก็ได้แต่ภายใน7วัน

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวสมิทโซเนียน1

มาได้สามวันก็เที่ยวแล้วเรา..

วันอาทิตย์ที่21 marchว่างฉันกับเพื่อนในกลุ่มเลยคิดว่าไปเที่ยวตัวเมืองกันไปกัน
ทั้งหมด9คน

ตื่นมาแต่เช้า จะได้มาทันรถบัสตอนแปดโมง และก็นั่งนั่งไปลงmetro(รถไฟใต้ดิน)metroที่นี่นก็คล้ายกับBTSบ้านเรานั้นแหละวิธีการใช้เหมือนกัน ฉันเลยซื้อตั๋วแบบวันเดียวราคาประมาณ8.31$

แต่สุดท้ายไปไม่ทันคลาดไปนิดเดียวเองเลยต้องเดินไปแทน ก็ประมาณ 4-5ไมล์ถึงจะได้

ฉันขึ้นสถานีLargo town center ไปลงL'Enfant plazza แล้วก็ไปนั่งต่อไปลงที่smithsonian(เหมือนกับหนัง nigth at the museum2) พอออกมาสู่บรรยากาศภายนอกเท่านั้นแหละ

ว้าว!!อากาศดีมาก ผู้คนเยอะแยะไปหมด สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานในวันวีคเอนจริงๆ ตื่นเต้นเห็นบรรยากาศวิวแบบนี้แล้วคงไม่มีพลาดแอ็คชั่นก่ายรูปกันแน่

แล้วเราก็เลือกว่าจะเริ่มจากไหนก่อนเพราะที่สมิทโซเนียนมีที่ให้ชมเยอะแยะ แถมรอบๆก็มีแต่สิ่งสวยๆงามๆทั้งน้าน แล้วก็ตกลงกันได้โดยเดินไป พิพิธภัณฑ์ยานบินและยานอวกาศแห่งชาติ(National Air and Space Museum)ก่อน ที่นั้นคงเหมาะกับคนที่คลั่งไคล้เครื่องบิน อวกาศเป็นแน่ มีครบทุกอย่างๆ องค์กรนาซ่าเขามาจำลองเอาไว้มีอพอลโลที่ไปลงดวงจันทร์ด้วย แบบว่าของเขาดีจริงๆ แต่เผอิญฉันไม่ค่อยคลั่งเรื่องพวกนี้เลยเดินๆไปดูไป แถมฟังเขาบรรยายไออกด้วย (เข้าชมฟรีนะจ๊ะ)





แล้วคราวหน้ามาต่อ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแห่งชาติ(National Museum of Natural History)กันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชีวิต..ที่ไกลบ้าน

จากสนามบินสุวรรณภูมิเมืองไทยถึงจากสนามบินดัลลัสวอชิงตันดีซี
ถึงเวลาประมาณ12.00วันที่19 marchและนั่งบัสมายังที่พักใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่า ก็ถึงประมาณ บ่ายโมงครึ่ง

เย้!ถึงแล้วที่พักของพวกเราชาว six flags DC ที่ Northhampton Apartment อยู๋ชานเมืองดีซี

พอขนกระเป๋าลงจากบัส ฉันรอนานมากกว่าจะได้เข้าบ้าน ที่พักของเราคล้ายหมู่บ้านนั้นแหละ บ้านที่ฉันพักอยู่หลังในสุดเดินไกลมากกว่าจะถึงแถมแบกกระเป๋าหนักอีก เหนื่อยมาก!!

ภายในห้องที่อยู่ใหญ่มาก มีทุกอย่างเลยห้องครัว ห้องโถง ห้องนอน3ห้อง ห้องน้ำ2ห้อง มีเครื่องซักผ้า เตาแก๊ส เตาอบ ที่ล้างจาน ตู้เย็น ถือว่าครบแหละสมกับราคาที่ต้องจ่ายคนละ95 $/week รวมค่าน้ำค่าไฟ อยู่กัน7คน

อยากจะบอกว่าคนแถวนี้มีแต่คนผิวสีหมดเลย จริงๆนะ เฮ้อไม่เจอฝรั่งขาวๆเล้ย แอบเศร้าๆ

การเดินทางยาวนานมากพอพวกเราจัดของเสร็จก็นอนพักกันค่อยไปลุยต่อพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้นพี่จิ๋ว(เจ้าหน้าที่)เขาก็พาฉันกะคนที่บ้านไปเดินซื้อของใช้เข้าบ้านกันที่ TARGET
อากาศตอนเช้าเย็นสบายดีแถมมีแสงแดดเหมือนเมืองไทยเลย
targetห่างจากที่พักของเราจะสองสามไมล์มั้ง เช้านั้นเลยได้สำรวจเมืองแถบนี้ด้วย แถวนี้ดูสะอาด สงบชอบจังเลย ต้นไม้ผลิใบ เหลือแต่ก้าน มีแต่ต้นสนที่มีใบเต็มหมด

แถวนี้มีแต่คนผิวสีอาศัยอยู่(ส่วนมาก)แถมรวยทั้งน้านดูจากรถที่ขับแล้ว แต่เขาดูอัธยาศัยดีมาก เพราะเขาจะชอบทักทายพวกเราแวลาเดินผ่าน ยิ้มให้อีก ตอนแรกนึกว่าจะโหดซะอีก
เดินๆๆไปจนถึงTarget ภายในมีร้านขายของเยอะมีทุกอย่างเลย
ตั้งแต่ของกินเครื่องใช้เสื้อผ้า
เราก็ได้ช้อปแหลก ราคาของส่วนมากก็ถือว่าถูกนะ ของกินอาจจะแพงกว่านิดหน่อย ห้างขายของคล้ายกับ บิ๊กซีเราแหละแต่ดูดีกว่า ซื้อกันเยอะแยะ ดีนะขากลับพี่เขาเอารถมารับแถมมีเพื่อนผู้ชายอีกสองคนมาช่วยไม่งั้นเหนื่อยตายก่อนถึงบ้านแน่เลย
ผ่านไปอีกวัน วันที่ซื้อของนี่เป็นวันเสาร์ที่20 ที่ทำงานเขาให้พักเสาร์ อาทิตย์ โชคดีจะได้มีเวลาเตรียมตัว





วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

Are you ready?

Yes ,im ready .
ได้เวลาที่จะเดินทางแล้ว
กำหนดการออกจากสุวรรณภูมิ 23.55น ของวันที่18 March
ก็ได้ร่ำลาครอบครัวอย่างที่ไม่มีการเสียน้ำตาด้วย แล้วก็ขึ้นเครื่องไปพร้อมกับเพื่อนที่พักด้วยกันมี7คน

ฉันบินด้วยสายการบินana(all nippon) ฉันต้องขึ้นเครื่องไปลงที่นาริตะโตเกยวก่อนแล้วค่อยไปลงต่ออีกที่สนามบินดัลลัสที่วอชิงตันดีซี
ระหว่างทางในการบินบนเครื่องANA ไม่รู้นะว่าสายการบินนี้เป็นของประเทศไหนแต่ทุกอย่างเป็นญี่ปุ่นหมด(อาจเป็นเพราะฉันลงที่ญี่ปุ่นก่อนรึป่าว)ทั้งแอร์โฮสเตด กัปตัน พูดภาษาญี่ป่นกันให้ควัก ภาษาอังกฤษยังฟังไม่ค่อยจะออก แอร์ยังมาสบีคเจแปนให้ฟังอีก

เวลาเสริฟอาหารเครื่องดื่มทีทำเอางงว่าพูดอารัยหว่าก็มั่วอังกฤษกับเขาไป แต่ไม่แค่นั้นเพราะเขาพูดภาษษอังกฤษกลับมางงยิ่งกว่าเจแปนอีก ฟังยากมากๆ
ฉันใช้เวลาในการบินจากไทยไปญี่ปุ่นประมาณ4ชม. และจากญี่ปุ่นไปอเมริกาก็อีก11ชม. อยู่บนเครื่องก็นอนๆๆเล่นเกมส์ฟังเพลงดูหนัง ทำเวียนไปมาน่าเบื่ออ่า นั่งจนตูดแฉะเลยทีเดียว แอร์ญี่ปุ่นน่ารักกันทุกคนเลยชอบ อิอิ อาหารแต่ละมื้อบนเครื่องเป็นอาหารญี่ปุ่นซึ่งฉันไม่เคยกิน เลี่ยนๆ อาจจะอร่อยนะ และ




ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่วอชิงตันโดยสวัสดิภาพกัน
ขั้นต่อไปคือเราต้องไปผ่านที่ตรวจคนเข้าเมือง ตื่นเต้นว่าจะฟังเขารู้เรื่องไหม
แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เขาก็ถามประมาณมาทำอะไรที่ไหน(รอนานมากกว่าจะถึงคิว)
แล้วก็ไปตรวจกระเป๋าแต่ที่ที่ไม่โดนค้น เพราะเขาอาจจะงงได้ว่าของกินที่ฉันแบกมามันเป็นคืออะไร(ดันแบกมาม่าไปเยอะ)
เมื่อทำไรเสร็จก็รวมตัวกับกลุ่มเพื่อนที่บินมาด้วยกันก็หลายคนอยู่นะ แล้วก็เริ่มต้นเดินทางไปที่พักในชานเมืองดีซีกัน โย่ๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ใกล้เข้ามาแล้วสินะ

เก็บกระเป๋าเสร็จซะทีหลังจากจัดมาหลายวัน ตามที่สายการบินแจ้งคือโหลดกระเป๋าได้สองใบ ใบละ23kgs ฉันเลยจัดไปเต็มที่ เอาไปทุกอย่างที่อยากแบกไป ไม่ว่ามาม่ารสต่างๆ ซักสามสี่แพค อาหารกึ่งสำเร็จรูป เสื้อผ้า ของใช้ต่างๆยัดลงไปในกระเป๋าฉันมีสองใบ คือใบใหญ่มาก กะใบปานกลาง เมื่อยัดทุกอย่างลงไปแล้วก็เอามันไปชั่งน้ำหนัก(เครื่องชั่งที่บ้าน) ใบใหญ่หนักตั้ง20 kgsดีนะที่ยังไม่เกิน ลองยกแล้วโคตรหนักเลยเหนื่อยเลย อีกใบหนักแค่10kgs พอจัดเสร็จสักพักก็เพิ่งคิดออกว่ายังเหลือรองเท้าใส่ทำงานยังไม่ได้ใส่ไปเลย อ้าวหละที่นี้ที่ก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้ว เด๋วรอให้หายขี้เกียจก่อนค่อยมายัดกันต่อละกัน อิอิ
แล้วรู้อะไรไหม พรุ่งนี้ฉันต้องไปฉีดวัคซีนไข้หวัด2009ด้วย(มีแม่เป็นพยาบาลก็อย่างนี้แหละ) ปลอดภัยไว้ก่อน
พอถึงเวลาที่จะไปจริงแล้วใจมันก็วูบๆหายๆยังไงก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันต้องไปปีนี้ด้วย เพราะพอคิดดูๆแล้วปีนี้น้องสาวแท้ๆของฉันก็จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทางครอบครัวก็ต้องใช้เงินมากว่าปกติ นอกจากนั้นฉันก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนทนาเลือกมหาลัยในครอบครัว อดพาน้องไปมหาลัย อดให้คำปรึกษาเกี่ยวกับมหาลัย พลาดไปทุกๆอย่าง เฮ้อ คิดไปคิดมาไม่รู้ทำถูกรึเปล่าที่ตัดสินใจไปปีนี้
ช่วงนี้ก็เลยมีความคิดสองอย่างอยากไปไวๆจัง กับอยากอยู่ที่บ้านนานๆจัง แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดหละนะ ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้น้องได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ชอบได้คณะที่ชอบ ทำอะไรหลายๆอย่างได้ดีแม้ว่าฉันจะไม่ได้คำแนะนำอะไรเท่าไหร่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่ สุขภาพแข็งแรง มีความสุขมากๆในช่วงที่ฉันไม่อยู่ ไปอยู่ที่นู้นคงไม่ร้องไห้คิดถึงพ่อกะแม่ให้ไปมาหาที่อเมกาหรอกนะ(ทำบ่อยตอนอยู่มอ) เศร้าแล้วก็ตื่นเต้นจังเลย
คอยดูสิพอไปที่นู้นแล้วฉันจะตั้งใจทำงานเก็บเงิน เอาเงินกลับมาคืนคุณพ่อคุณแม่
และที่เหลือจะได้ช้อปๆๆๆ555
จะไหวไหมเนี่ยเรา สู้โว้ยๆ

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

Next Station Japan


ผ่านไปอีกขั้นตอนสำหรับการเตรียมตัวไป work&travel เพราะล่าสุดฉันได้ไปทำวีซ่าญี่ปุ่นมากว่าจะทำได้เล่นเอาเหนื่อยไม่เบา ก็เรื่องมันเป็นอย่างนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(5มีค)นัดกับเพื่อนอีกคนที่ไปworkด้วยกันว่าจะไปทำวีซ่าญี่ปุ่นนะ เพื่อนนัด 7โมงเช้า ย้ำ7โมงเช้า คิดดูละกันว่าต้องมาทำวีซ่าที่บางกอก ฉันต้องตื่นตั้งแต่ ตี4กว่า เพราะรถตุ้ออกตี5.15 พอไปถึง เพื่อนที่นัดก็มารออยู่แล้ว(ตั้งแต่ตีสี่) โดยเราต้องทำวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ ตรงข้ามกับสวนลุมพินี เราขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่ชิดลมแล้วต่อแท็กซี่ไป ไปถึงนั้นก็ แปดโมงเกือบครึ่งซึ่งในเว็บบอกว่าสถานทูตทำการ 8.30แต่ปรากฏว่าไปถึงคิวรอเข้าหน้าสถานทูตเกือบสามสิบคนรอกันยาวเยียด งงเลยไรกันวะเนี่ยนึกว่าไปเช้าแล้วนะ ขาเข้าประตูเจ้าหน้าที่ก็ตรวจของเอ็กเรย์ตามปกติ (ดีนะที่ไม่เคร่งเหมือนที่สถานทูตอเมริกาที่นั่นเขาโหดจริง) พอเข้าไปถึงข้างใน โหใหญ่โตดีมีแต่เหล็กๆกับผู้คนไปกดบัตรคิวตอนประมาณ8.30 ทายสิได้คิวที่เท่าไหร่ ได้คิวที่92 แม่เจ้า!! รอไปเหอะ ขณะรอไปด้วยก็ตรวจเอกสารไปแล้วก็พบเรื่องไม่คาดคิด ฉันเอาเอกสารมาไม่ครบ(สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆที่เว็บhttp://www.th.emb-japan.go.jp/) แย่แล้วคราวนี้ ทำไงดีหล่ะหาวิธีแก้ไปๆมาๆสุดท้ายก็ไม่ได้ผลเลยให้เพื่อนทำวีซ่าคนเดียวไปก่อน วันนั้นทั้งวันฉันเลยไปเก้อ ตื่นเช้าแล้วยังไปเก้อฉันนี่งี่เง่าชะมัด

ครั้งที่2ไปทำอีกรอบวันจันทร์(8มีค)คราวนี้ขี้เกียจตื่นเช้าเลยออกจากบ้าน7.15 แต่วันนี้ดันซวยแต่เช้าเพราะรถติดนานมาก กว่าจะถึงสถานทูตก็9.30 รีบมากปรากฏว่าข้างในวันนี้เยอะกว่าวันศุกร์อีกแหะ พอไปกดบัตคิวได้คิวที่ 279 ย้ำ279!! รออีก162คน เซ็งมาก เช้านั้นเลยรอ รอ จนเหงื่อโชก(ที่จริงเขาก็มีห้องแอร์นะแต่คนมันเยอะเลยต้องมานั่งรอข้างนอก) รอถึงประมาณ 11.30 กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ปาไป 12.30 เฮ้อ..... เสร็จสิ้นกันทีกับภารกิจ นี่แค่งานง่ายๆก็จะแย่แล้วจะไปรอดไหมเนี่ยเราอยู่ที่นู่นต้องรอบคอบกว่านี้ไม่งั้นโดนเด้งกลับมาเมืองไทยก่อนกำหนดแน่

ใช่.... ที่ฉันทำวีซ่าญี่ปุ่นด้วยก็เพราะว่าขากลับจะแวะญี่ปุ่นหน่อย3วันผ่านทั้งทีไม่แวะจอดเที่ยวให้มันรู้ไปสิ (วีซ่าที่ทำคือแบบทรานสิท,ระยะสั้น)
ช่วงที่ฉันไปได้ยินมาว่าซากุระบานพอดี คงสวยน่าดู ใครมีที่เที่ยวดีๆก็บอกกันได้นะจ๊ะ


Yokoso Japan
แปลว่าการท่องเที่ยวญี่ปุ่น